ตำนานสิงห์คู่ แห่งเบญจมราชูทิศ จันทบุรี
ตำนานที่เล่าขานคู่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จันทบุรี สืบต่อกันมากว่า ๑๐๐ ปี เป็นหินโบราณที่แกะสลักเป็นรูปสิงห์ ๒ ตัว มีความอัศจรรย์ และความเป็นมายาวนาน กล่าวขานเป็นตำนานต่างๆ ทุกคนล้วนเคารพ และยกให้เป็นสัญลักษณ์คู่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จันทบุรี จวบจนปัจจุบัน
วันอังคารที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2556
VTR สิงห์คู่ เบญจมฯ จันท์
VTR สิงห์คู่ เบญจมฯ จันท์
ผู้ให้สัมภาษณ์ นายวิศรุต จีระสมบูรณ์ยิ่ง
ติดตามชมได้ที่ http://www.youtube.com/watch?v=LQFM5Hlw380&feature=youtu.be
สิงห์คู่ เบญจมฯ จันท์
สิงห์คู่ เบญจมฯ
เนื่องจากทุกวันที่ 6 กันยายน ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันกำเนิดโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี 1 ใน 5 โรงเรียนชายประจำ 5 มณฑลที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้าหลวง โดย วันที่ 6 กันยายน 2554 เป็นวันคล้ายวันกำเนิดโรงเรียน 100 ปี ตามที่ได้นำเสนอให้ทราบฉบับที่ผ่านมา “91 ปี ศรียานุสรณ์ 100 ปี เบญจมราชูทิศ” ได้ทำพิธีเปิดอาคารเรียนหลังแรกเป็นเรือนปั้นหยาชั้นเดียว หน้าอาคารปรากฏสิงห์ศิลาคู่ และสิงห์ศิลาคู่นี้ได้กลายเป็นเอกลักษณ์เคียงคู่ศิษย์เก่าชาวฟ้าเหลืองรุ่นแล้วรุ่นเล่าจวบจนปัจจุบัน โดย พระยาตรังคภูมาภิบาล (ถนอม บุณยะเกตุ) กล่าวเปิดนามโรงเรียน เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2456 แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า สิงห์ศิลาคู่ 100 ปีเบญจมราชูทิศ ศิลปกรรมแบบนครวัต เป็นศิลปกรรมเขมรองค์ประกอบของปราสาทขอมที่ประดิษฐ์ขึ้นระหว่างปี พ.ศ.1650 - 1720 ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนโบราณสถานไว้แล้วนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไมจึงมาปรากฏกายพร้อมกับชิ้นส่วนปราสาทขอมอีกหลายชิ้น ณ สถาบันแห่งนี้และบริเวณใกล้เคียง เช่น วัดกลาง วัดโบสถ์เมืองจันทบุรี วัดหน้าพระธาตุ (ร้าง) ภายในวิทยาลัยสารพัดช่างจันทบุรี เป็นต้น ปัจจุบันสิงห์ศิลาคู่นี้ได้จัดวางไว้บริเวณหน้าเสาธง ร.ร.เบญจมราชูทิศ ถือเป็นเอกลักษณ์ประจำสถาบัน ซึ่งศิษย์เก่ารู้จักเป็นอย่างดี แต่ท่านรู้จักจริงหรือ ?
ตามที่ข้าพเจ้าได้เคยนำเสนอเรื่องราว ของอาณาจักรเมืองเก่าจันทบูร สมัยขอมเรืองอำนาจที่เมืองเพนียดหรือเมืองพระนางกาไว ใกล้วัดทองทั่ว ต.คลองนารายณ์ อ.เมือง จ.จันทบุรี ซึ่งกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนโบราณสถานไว้แล้ว เป็นกำแพงศิลาแลงสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบเป็นสระน้ำหรือบาราย กว้าง 17 เมตร ยาว 57 เมตร หนา 3 เมตร บริเวณโดยรอบเป็นปราสาทที่ชาวบ้านบุกรุกทำลายกลายเป็นสวนผลไม้ ยังคงเหลือไว้ซึ่งโบราณวัตถุจำนวนหลายชิ้น ที่ขุดพบโดยทั่วไป และบริเวณหมู่บ้านเพนียด ใกล้วัดเพนียด (ร้าง) ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์วัดทองทั่ว เช่น ทับหลัง 3 ชิ้น 3 สมัย กรอบประตูแปดเหลี่ยม ศิลางาช้าง จำหลักนูน สิงห์ทวารบาลลักษณะเดียวกับที่พบ ณ โรงเรียนเบญจมราชูทิศ และชิ้นส่วนที่พบ ณ วัดกลาง วัดสระบาป วัดโบสถ์เมืองจันทบุรี วัดเขาพลอยแหวน และวัดบนบ่อพุ อ.ท่าใหม่ ชิ้นส่วนปราสาทศิลาแลงและศิลาทรายเหล่านี้ทำไม จึงปรากฏอยู่ทั่วไปในจังหวัดจันทบุรี แสดงให้เห็นว่าต้องมีการเคลื่อนย้ายองค์ประกอบของปราสาทเมืองเพนียด หลวงสาครคชเขตต์ (ป.สาคริกานนท์) เขียนหนังสือจดหมายเหตุ ความทรงจำสมัยฝรั่งเศสและญวนยึดจันทบุรี เมื่อ พ. ศ.2481 หน้า 534 - 535 ได้กล่าวถึง ศิลาที่ขุดได้ที่เมืองเพนียด เก็บรักษาไว้ที่วัดทองทั่ว และศิลาที่รักษาอยู่ในโรงเรียนเบญจมราชูทิศ สลักรูปลวดลายลักษณะต่าง ๆ เป็นต้นว่า ราหูอมจันทร์บ้าง เป็นเทวรูปหรือปรสุราม (รามสูรย์) บ้าง เป็นตัวสิงห์บ้าง เป็นแท่นคล้ายธรณีประตูบ้าง
นายอเนก บุญภักดี ได้เขียนไว้ในบันทึกการศึกษาเรื่อง เมืองจันทบุรี พิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพ นายปัญญา เอครพานิช 6 ธันวาคม 2512 หน้า 35 ว่า “ในสมัยเมื่อข้าพเจ้าเรียนหนังสืออยู่ที่ โรงเรียนประจำ จ.จันทบุรี เบญจมราชูทิศ (พ.ศ.2468 - 3475) ที่ปลายถนนหน้าโรงเรียนหลังใหญ่ ซึ่งขณะนี้รื้อไปหมดแล้ว ด้านตะวันตกมีแผ่นศิลาสลักเป็นรูปปรสุราม หรือจะเป็นรูปอะไรก็ไม่ทราบแน่ แต่มีลักษณะเป็นหัวนกอ้าปาก เรามักจะเรียกว่า หัวนางกาไว นอกนั้นก็มีเป็นเจดีย์หิน โดยเอาหินเป็นก้อนกลมๆมาประกบกัน ยอดไม่ใช่ยอดแบบพระเจดีย์ไทยแต่เป็นแบบคล้ายๆ กับแบบเจดีย์จีนมากกว่า ที่ด้านข้างมีจารึกอักษรไทยอยู่ด้วย เคยพยายามอ่าน และจดไว้ แต่หาไม่พบเพราะนานมาแล้ว ต่อมาเมื่อรื้อตัวโรงเรียนเดิมย้ายมาสร้างใหม่ ณ ที่ตั้งปัจจุบัน ศิลากองนี้ถูกเลื่อนไปไว้ที่โรงเรียนการช่าง ในบริเวณโรงเรียนเบญจมราชูทิศนั่นเอง แต่ปัจจุบันนี้จะไปอยู่ที่ใดก็ไม่ทราบ สืบหาทั้งที่จังหวัดและกรมศิลปากร ก็ยังไม่ได้ความว่าอยู่ที่ใด
ภาพเก่าในอดีตเหล่านี้นี่เอง การตามรอยสิงห์ศิลาคู่หรือสิงห์ทวารบาลศิลปกรรมนครวัตจึงเริ่มขึ้น สรุปความได้ว่า เมื่อ ร.ศ.112 - 123 (พ.ศ.2436 - 2477) ฝรั่งเศสเกณฑ์ญวนเข้ายึดครองจันทบุรี ชั่วคราวเพื่อต่อรองแลกเปลี่ยนดินแดน ระหว่างที่ถอนกำลังไปยึดตราดอีก 3 ปี ได้มีการก่อสร้างศาสนสถานไว้ริมแม่น้ำจันทบุรี ในเขต ต.พุงทะลาย (จันทนิมิต) เพราะวัดเดิมพื้นที่ลุ่มต่ำน้ำท่วมขังทุกปี วัดที่ก่อสร้างขึ้นใหม่นี้ต้องใช้ฐานรากที่แน่นหนา ฝรั่งเศสจึงว่าจ้างชาวทองทั่ว ขนชิ้นส่วนปราสาทและกำแพงเมือง บรรทุกเกวียนมาตามถนนศาลาแดง นำถมเป็นพื้นของวิหาร ศิลาทรายสลักบางชิ้นที่สวยงามปะปนมากับศิลาแลงสี่เหลี่ยมด้วย ชาวบ้านบางส่วนเห็นว่า ถ้านำไปถมลงดินจะหมดคุณค่า จึงวิ่งเกวียนหลบฝรั่งเศส ข้ามสะพานวัดจันทนารามซึ่งเป็นสะพานชั่วคราว กลิ้งทิ้งหลบไว้ในป่าช้าหลังวัดกลาง (ร้าง) ต่อมาป่าช้าผืนนี้ได้แปรสภาพเป็นโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ชิ้นส่วนศิลาสลักจำนวนมาก รวมถึงสิงห์ทวารบาลที่กล่าวถึง จึงปรากฏให้เห็นเคียงคู่อาคารหลังแรก จนถึงปัจจุบัน
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 100 ปี โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี 6 กันยายน ของทุกปี โรงเรียนจึงกำหนดเป็นวันกำเนิดโรงเรียน จัดกิจกรรมย้อนรำลึกพระมหากรุณาธิคุณพระพุทธเจ้าหลวง และพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว สืบสานตำนานสิงห์ทวารบาล โบราณวัตถุล้ำค่าที่ชาวฟ้าเหลืองทุกคนพานพบจวบจนปัจจุบันนี้.
วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
สัญลักษณ์โรงเรียน
สัญลักษณ์โรงเรียน
เครื่องหมายประจำโรงเรียน พระเกี้ยว
ปรัชญาโรงเรียน ปญฺญา นรานํ รตฺนํ
ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน
สีประจำโรงเรียน ฟ้า – เหลือง
ต้นไม้ประจำโรงเรียน ต้นแก้ว
อักษรชื่อย่อโรงเรียน บ.จ.
อัตลักษณ์ของโรงเรียน การเรียนเด่น
เอกลักษณ์ของโรงเรียน วิชาการเป็นเลิศ
วิสัยทัศน์ของโรงเรียน ดีเด่นวิชาการ สืบสานความเป็นไทย
ก้าวไกลสู่มาตรฐานสากล Excelling in Academic Preserving
Thai-ness Stepping up to International Standards
ปัจจุบัน
ปัจจุบัน
โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาขนาดใหญ่พิเศษ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 17 กระทรวงศึกษาธิการ มีนักเรียนประมาณ 3000
คน โดยชื่อโรงเรียนเป็นนามพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เพื่อเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
โรงเรียนเบญจมราชูทิศ
จังหวัดจันทบุรี มีพื้นที่ 22 ไร่ 2 งาน
ตั้งอยู่เลขที่ 10 ถนนศรียานุสรณ์ อำเภอเมือง
จังหวัดจันทบุรี เปิดสอนสองระดับคือ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-ม.3) และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4-ม.6) ซึ่งทั้งสองระดับรับทั้งนักเรียนชายและหญิง
การจัดการเรียนการสอนแบ่งโครงสร้างการเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม
คือ กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ และกลุ่มวิชาทั่วไป
โดยมีนโยบายในการพัฒนาการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับสภาพของท้องถิ่น
ซึ่งเป็นเมืองเกษตรกรรม ในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก
ได้ปรับปรุงอาคารสถานที่ให้เพียงพอเหมาะสมกับสภาพของโรงเรียน จัดบรรยากาศห้องเรียน
และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนอาคารเรียนให้สะอาดร่มรื่น สวยงาม
เพื่อเป็นแหล่งแห่งการเรียนรู้ได้ทุกเวลาสถานที่ ทั้งนี้เพื่อปลูกฝังคุณธรรม
จริยธรรม ความสามารถทางวิชาการ ความรัก ความผูกพัน ศรัทธา
เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าโรงเรียนคือ บ้านที่สอง ของนักเรียนทุกคน
วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556
อดีต
อดีต
การศึกษาของกระทรวงธรรมการ(กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน)ในปี พ.ศ.2454 - 2455 ได้แบ่งชั้นเรียนวิสามัญ ออกเป็น 9 ชั้น คือ ชั้นมูล 3 ชั้น ชั้นประถม 3ชั้น และชั้นมัธยม 3 ชั้น ขณะนั้นจังหวัดจันทบุรีมีโรงเรียนวัดจันทนารามแห่งเดียวที่เปิดสอนชั้นสูงสุดคือ ประโยคประถม (ป.3) ผู้ที่จบประโยคประถมแล้วถ้าต้องการศึกษาต่อชั้นมัธยม ต้องไปศึกษา ณ กรุงเทพฯ
ต้นปี พ.ศ. 2454 ขุนวิภาชวิทยาสิทธิ์ (สังข์ พุกกะเวส) ธรรมการมณฑลจันทบุรี (ภายหลังได้เลื่อนเป็น พระวิภาชวิทยาสิทธิ์) และครูพูล (ขาว) ผู้ช่วยข้าหลวงธรรมการมณฑลจันทบุรี (ภายหลังได้บรรดาศักดิ์เป็นขุนชำนิอนุสรณ์ ตำแหน่งธรรมการจังหวัดจันทบุรี) ได้ร่วมกันพิจารณาหาที่ตั้งโรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลจันทบุรี (มณฑลจันทบุรี ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี ระยอง และตราด) เพื่อพิจารณาแล้ว เห็นว่า วัดจันทนารามตั้งอยู่ริมแม่น้ำ น้ำท่วมการเดินทางต้องลงเรือ ส่วนวัดกลาง อยู่บนเนินสูง น้ำไม่ท่วม นักเรียนสัญจรไปมาสะดวก ทั้งมีบริเวณกว้างขวาง และในขณะนั้นวัดกลางเป็นวัดร้าง มีพระภิกษุรูปเดียว มีศาลาการเปรียญ 1หลัง กุฏิ 3 หลัง ซึ่งพระภิกษุอาศัยอยู่ 1 หลัง กุฏิอีก 2 หลัง สามารถใช้เป็นอาคารเรียนชั่วคราวได้ เหมาะสมที่จะจัดตั้งเป็นโรงเรียนประจำมณฑลต่อไป
กลางปี พ.ศ. 2454 ทางราชการได้ส่งครูมาให้ 2 คน คือ ครูพูล (ดำ) และครูกัลป์ ธรรมการมณฑลจึงสั่งโอนนักเรียนประถม 15 คน จากวัดจันทนาราม มาเรียนที่ศาลาการเปรียญวัดกลาง เมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2454 และประกาศรับนักเรียนชาย หญิง เข้าเรียนชั้นมูล 1 ที่ศาลาการเปรียญด้วย ต้นปี พ.ศ. 2455 ได้เลื่อนนักเรียนที่สอบไล่ได้ประโยคประถมเป็นนักเรียนฝึกหัดมณฑลจันทบุรี โดยเรียนที่กุฏิร้าง 1 หลัง และให้นักเรียนที่สอบได้ประถมปีที่ 2 ของวัดจันทนาราม มาเรียนประโยคประถมที่วัดกลางโดยเรียนที่กุฏิร้างอีก 1 หลัง พระราชทานนาม “เบญจมราชูทิศ”
ปี พ.ศ. 2455 ข้าราชการในมณฑลจันทบุรี ได้พร้อมใจกัน บริจาคเงินสร้างอาคารเรียนหลังแรกเพื่ออุทิศพระราชกุศลถวายแด่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยอาคารหลังนี้ สร้างเป็นเรือนปั้นหยาชั้นเดียว 6ห้องเรียน ยาว 12 วา 2 ศอก กว้าง 6 วา มีมุขและระเบียง 3 ด้าน ตัวไม้ใช้ไม้ตะเคียนล้วน ส่วนพื้นและเครื่องบนใช้ไม้ยางบ้าง ตัวอาคารทาสีฟ้าและมีรางน้ำรอบ การทำได้ทำอย่างประณีตงดงามแน่นหนาถาวรทุกประการ (ที่ตั้งอยู่บริเวณอาคาร9ในปัจจุบัน ทางเข้าออก อยู่ด้านถนนเบญจมราชูทิศ) เมื่อสร้างเสร็จเป็นโรงเรียนสมบูรณ์แล้วจึงขอพระราชทานนามโรงเรียน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานว่า “เบญจมราชูทิศ”และเนื่องจากในปีนี้กระทรวงธรรมการได้เปลี่ยนหลักสูตรการศึกษา เป็นชั้นประถม3 ชั้น และมัธยม 8 ชั้น ชั้นมูลไม่มี ดังนั้นที่โรงเรียนวัดจันทนารามคงให้สอนเพียง ชั้น ป.1 - ป.3 ผู้ที่ประสงค์จะเรียนชั้นมัธยมต้องมาเรียนที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ ซึ่งเป็นโรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑล (ชาย)
ครั้นวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2456 วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (สวรรคตวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2453 เวลา 24.45 น. หรืออาจนับเป็นวันที่ 23 ตุลาคม เวลา 0.45 น.) จึงได้จัดการทำพิธีเปิดโรงเรียนโดย ขุนวิภาชวิทยาสิทธ์ ธรรมการมณฑลจันทบุรี อ่านรายงานการก่อสร้างสมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลจันทบุรี พระยาตรังคภูมาภิบาล (ถนอม บุณยเกตุ) ประธานในพิธีกล่าวคำประกาศเปิดนาม และประกอบพิธีเปิดนามโรงเรียน เมื่อจัดงานฉลองและบำเพ็ญกุศลแล้วจึงเริ่มการสอนแก่นักเรียนในนามโรงเรียน “เบญจมราชูทิศ”ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2456 เป็นต้นมา โดยได้ใช้ชื่อโรงเรียนทางราชการตามลำดับจากอดีตถึงปัจจุบันดังนี้
·พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2461 โรงเรียนเบญจมราชูทิศ มณฑลจันทบุรี
·พ.ศ. 2462 - พ.ศ. 2473 โรงเรียนประจำมณฑลจันทบุรี “เบญจมราชูทิศ”
·พ.ศ. 2474 - พ.ศ. 2494 โรงเรียนประจำจังหวัดจันทบุรี “เบญจมราชูทิศ”
·พ.ศ. 2495 - พ.ศ. 2503 โรงเรียนจันทบุรี “เบญจมราชูทิศ”
·พ.ศ. 2503 - ปัจจุบัน โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดจันทบุรี
วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556
My Profile
My Profile
First name : Pacharawan
Last name : Limlikhitaksorn
Nickname : Tanguy (แทนกาย)
E-mail : Tanguys.pali@hotmail.com
Gmail : Tanguys.pali@gmail.com
Facebook : Tanguy Pacharawan Limlikhitaksorn
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)